เบื้องต้นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและความสำคัญ ของคำว่า “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” ก่อน
คำว่า นวัตกรรม (innovation) มาจากรากศัพท์ 2 คำ คือคำว่า นว กับคำว่า กรรม คำว่า นว มีความหมายแปลว่า ใหม่ หรือตามรากศัพท์ภาษาบาลีแปลว่า เก้า ซึ่งมีคำพ้องเสียงคล้ายคำว่า ก้าว หรือก้าวไปข้างหน้า และในสังคมไทยมีวันเทศกาลสงกรานต์หรือที่คนไทยรู้จักกันก็คือวันขึ้นปีใหม่ไทยหรือวันเนาว์ คำว่า เนาว์ มาจากรากศัพท์ นว ที่แปลใหม่ ส่วนคำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ
ดังนั้น เมื่อ 2 คำรวมกัน จึงมีความหมายว่า เป็นการกระทำใหม่ แนวคิดใหม่ วิธีการใหม่ ความรู้ใหม่ หลักปฏิบัติใหม่ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เป็นนวัตกรรม มีขอบเขตดังนี้ เช่น.-
- สิ่งที่ไม่เป็นนวัตกรรมที่หนึ่ง อาจจะเป็นนวัตกรรมที่หนึ่ง
- หรือสิ่งที่เป็นนวัตกรรมในอดีต หากใช้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันจนแพร่หลาย อันนี้ไม่ถือว่าเป็นนวัตกรรม
- แต่สิ่งที่เคยใช้ไม่ได้ผลในอดีต แต่หากนำมาปรับปรุงใช้ในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมได้
ส่วนคำว่า เทคโนโลยี (Technology) หมายถึงการนำความรู้หรือระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในระบบการทำงาน เช่น หากใช้ในทางเกษตร ก็เรียกว่า เทคโนโลยีทางการเกษตร หรือใช้ในทางการศึกษา ก็เรียกว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นต้น ดังนั้น คำว่าเทคโนโลยี จึงเป็นการประยุกต์เอาผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ในใช้ในระบบงานต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มทุนหรือการประหยัด
ประเด็นสำคัญที่ต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารหลักสูตร ซึ่งพอสรุปประเด็นที่สำคัญได้ 4 ประการ คือ.-
1. การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว และกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ บางแห่งอยู่ไกลจากการคมนาคม บางแห่งขาดอาคารสถานที่ ขาดครู หรืออุปกรณ์ทางการศึกษา ทำให้ไม่สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างทั่วถึง ดังนั้น การนำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยอาจจะทำให้การจัดการศึกษามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ในเชิงวิธีการการสอนแบบพี่สอนน้อง การใช้บทเรียนสำเร็จรูป หรือการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น
2. ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งสังคมปัจจุบันเป็นสังคมการเรียนรู้ที่ไรพรมแดนที่เรียกว่า globalization กล่าวคืออยู่ที่ไหนก็สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อมูลกันได้ คุณจะอยู่ขั้วโลกเหนือก็สามารถรับรู้ข้อมูลในขั้วโลกใต้ได้ ในอดีตการติดต่อสื่อสารอาจจะใช้จดหมาย ซึ่งเสียเวลาทั้งค่าส่ง เวลาในการจัดส่ง เปลืองทั้งแรงงานคน แต่ทุกวันนี้เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในสื่อสารซึ่งมีรวดเร็ว ส่งตอนนี้ปลายทางก็สามารถได้รับทันที เช่น ใช้ e-mail หรือ facebook เป็นต้น ประหยัดทั้งเวลา แรงงานคน และค่าใช้จ่ายด้วย ดังนั้น การจัดการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะจัดหรือปรับให้สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการนั้น
3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะหากสังคมเปลี่ยน เศรษฐกิจดีหรือแย่ หรือแม้แต่การเปลี่ยนรัฐบาล การจัดการศึกษาก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น หากสังคมยุคนี้ต้องการผู้เรียนแบบไหน หรือ พรบ.การศึกษาต้องการให้ผู้เรียนเป็นลักษณะไหน การจัดการศึกษาก็ต้องจัดเพื่อตอบสนองให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น ดังนั้น การจัดการศึกษาเพื่อให้เท่าทันกับเหตุการณ์และสภาพที่แปรเปลี่ยนไปทั้งเศรษฐกิจและสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความรู้ทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
4. การจัดการเรียนการสอนรูปแบบเดิม มีปัญหาด้านคุณภาพของนักเรียนที่จบการศึกษาไป เราจะเห็นว่าในอดีตรูปแบบการเรียนการสอน เป็นลักษณะครูเป็นศูนย์กลาง หรือที่เรียกว่า teacher center ผู้เรียนไปเรียนหนังสือแต่ละวันต้องแบกตำราเรียนไปเรียนแทบไม่ไหว (หลายสิบเล่ม) เหมือนว่าหากจบการศึกษาไปแล้วก็ถือว่าเป็น ดร.ไปเลย แต่จะมีตำราใดบ้างที่เป็นความรู้ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์มาก อาจจะมีบ้างแต่ก็น้อย และรูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิมยังขาดความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกัน วัดได้จากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจากโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนชนบท หรือโรงเรียนระดับ high class กับโรงเรียนระดับ low class ซึ่งมีความแตกต่างกันมาก ดังนั้น หากเรารู้จักเลือกใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่นหรือโรงเรียน ก็อาจจะช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้
ทั้ง 4 ประเด็นเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารหลักสูตร ซึ่งมีหลักการสำคัญที่พอสรุปได้ ก็คือ เพื่อให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และความประหยัด คำว่าประหยัดในที่นี้หมายถึงการประหยัดทั้งเงิน เวลา และแรงงานด้วย
สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น